top of page

หมีคิดดัง รีวิวท่องเที่ยว: ไปเลยมั้ย... ชัยปุระ ประเทศอินเดีย 4 วัน 3 คืน

ไปเลยมั้ย... ชัยปุระ!

หลังจากที่หมีได้เคยเกริ่นมาสักพักเกี่ยวกับความ Exotic ของเมืองนี้ วันนี้หมีก็ได้มาเยือนเมืองชัยปุระ ประเทศอินเดียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มามะจะเล่าให้เพื่อนๆได้เห็นภาพเมืองนี้ผ่านมหากาพย์แห่งบทความรูปภาพกัน ไปกันเลย...

DAY 1

พร้อมออกเดินทางแล้ว เที่ยวบินไทยสมายล์ WE337 สุวรรณภูมิ-ชัยปุระ เครื่องออก 22:05 น. แต่ด้วยความที่กลัวรถติด หมีเลยมาถึงสนามบินตั้งแต่หกโมงนิดๆ แถมยังมีเวลาช็อปปิ้งอีกด้วยนะ

เชคอินอยู่มี่ ROW E มาถึงปุ๊บ แขกอินเดียมารอต้อนรับกันเพรียบ! บ้างก็มีส่งกลิ่นมาทักทายประมาณว่า ยืนดูอะไรละจ๊ะพ่อหนุ่ม เข้ามาเช็คอินด้วยกันสิจ๊ะ

อั้ยย๊ะ ได้คูปองส่วนลดจากดิวตี้ฟรี 200 บาท มาทันทีที่ตรวจเล่มพาสปอตเสร็จเลย ซื้ออะไรดีน้า

หลังจากช็อปปิ้งอย่างเมามันก็เดินตุ่ยๆไปที่เกต C9 กันเลย

บนเครื่องมีหนังตลกแบบไม่ต้องใช้เสียงให้ดูด้วย สังเกตุจากเสียงคนอินเดียหัวเราะแล้ว #อินเดียเป็นคนตลก

และแน่นอน สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับอินเดีย... ถั่ว นั่นเองนะคร๊าบ!!

อาหารก็ไม่น้อยหน้าเลย สำหรับเที่ยวบินนี้มีให้เลือกสองเมนู 1) อาหารมังสวิรัติ 2) อาหารปกติ แน่นอนว่าหมีเลือก 2) ผลออกมาเป็น... ฉู่ฉี่กุ้งที่มีกุ้งน่าจะร่วม 10 ตัว!!!

แถมเที่ยวบินนี้ยังมีผ้าห่มให้ใช้ด้วยโดยที่ไม่ต้องขอน้องแอร์สาวสวยเป็นพิเศษเลยนะ ส่วนประโยชน์ของมันน่ะหรือ #หมีคงใช้ผิดมาตลอดสินะ

หลังจากเวลาผ่านไปประมาณ 4 ชม. พวกเราก็ถึงเมืองชัยปุระเป็นที่เรียบร้อย ^^

คืนนี้เรามาถึงเป็นเวลา 1:15 น. ของที่นี่ มีเวลานอนพักได้ถึง 7 โมงเช้าพร้อมที่จะออกตะลุยเมืองนี้กันต่อ

โอ้ววววว... ขนกันไปได้ ห๊ะ! เดี๋ยวนะ... มีคนเข็นด้วย!

สถานที่แรกที่เราไป ที่นี่เลย ฮาวามาฮาล ด้วยความที่ตัวสถาปัตยกรรมเองมีรูหน้าต่างเป็นจำนวนมากเหมือนช่องลม ทำให้ที่นี่ถูกขนานนามว่าพระราชวังแห่งสายลม Wind Palace นั่นเอง

ตึกนี้มีความสูง 5 ชั้น สร้างด้วยทรายสีชมพูซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองชัยปุระ จนทำให้เมืองนี้มีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า นครสีชมพู นิงาย

เดี๋ยวนะ อูฐเดินผ่าน นิยาม: รถที่มีหน้าตาเหมือนอูฐ สามารถบรรทุกกระสอบได้ทุกชนิด สามารถใช้เพื่อเดินทาง โดนบีบแตรเหมือนรถยนตร์ปกติ โดยที่อูฐเองก็ไม่ได้สนใจเสียงแตรอะไร

ถ่ายภาพออกมาเหมือนอยู่ลันดั๊ล แต่ความเป็นจริงแล้วสภาพแวดล้อมก็ประมาณตลาดสะพานพุทธเราเนี่ยละ มีขี้อูฐ วัว หมู แพะ คน เป็นเลเยอร์ละเลงอยู่เป็นหย่อมๆ (นึกภาพปาด Nutela ลงบนขนมปัง 1 แหมะ)

ขาดไม่ได้เลย ลุงเป่างู งูอะไรเชื่องปานชิสุ จับได้ ลูบได้ คลำได้ ส่วนเจ้างูก็เลื่อยโชว์บนมือ พันคอโชว์

ป ลิง: ชาวอินเดียนั้นมีความคาดหวังเรื่องทิปสูงมากๆในทุกๆเรื่อง ส่วนรูปนี้น่ะหรอ 30 รูปีลอยลงตระกร้างูไปเลยจ้า

นี่คือชิสุ... เอ้ย! งูตัวที่หมีบอกนิงาย จับได้สบายเหมือนสายยางรดต้นไม้ (ส่วนนายแบบมีอาการเกร็งน่าจะเพราะเขินกล้องในมือ)

ระหว่างที่ยืนถ่ายรูปอยู่นั้น... #เสียงลอยมาในอากาศ "HELLO MY FRIEND!!!" อีนี่อยากให้ยูขึ้นไปดูข้างบนนั้น รับรองว่าวิวสวยกว่าข้างล่างนี่เยอะ แต่หารู้ไม่ว่าเรานั้นอ่านรีวิวมาแล้ว ตึกข้างในนั้นเต็มไปด้วยร้านค้า ซึ่งกว่าจะขึ้นไปบนยอดได้จะต้องผ่านด่านการเซ้าซี้ของพ่อค้ามากมาย ยากที่จะรอดลงมาแบบไม่เสียเงิน

วัวที่นี่ก็อินดี้สุดๆ สามารถเดินได้ทุกที่ ไปได้ทุกแห่ง ไม่โดนเทศกิจจับ ไม่โดนบีบแตรใส่ ไม่มีใครสน (ประมาณว่าวัวตัวนี้ได้สวมแหวน lord of the ring แล้วหลุดไปอีกมิตินึง ไม่มีใครเห็น)

อีกที่นึงที่ขาดไม่ได้ นี่เลย Amber Fort พระราชวังป้อมปราการชั้นนำของโลก มีกำแพงยาวลักษณะคล้ายกำแพงเมืองจีน ลัดเลาะไปตามทิวเขา อ้าว... ขยับหน่อยสิจะถ่ายรูป

ในเมื่อนักท่องเที่ยวไม่ยอมขยับ หมีขยับเอง อ่ะ... ไม่มีคนละ

เดินต่ออีกนิดนึงก็เห็นวิถีการใช้ชีวิตของครอบครัวๆหนึ่งหน้าป้อม แม่กำลังพาลูกๆมาอาบน้ำ โดยที่แม่เองตักน้ำราดลงไปที่ลูกน้อยที่แต่งองค์ทรงเครื่องใส่เสื้อ กางเกงขายาวอยู่ แล้วก็ปล่อยทิ้งไว้แบบนั้นแหละ

ว่าแล้วขึ้นไปชม Amber Fort กันเลย ขาขึ้นหมีเลือกขึ้นด้วยช้าง จะได้ฟิลลิ่งแบบโยกเยกๆ เวียนหัว ถึงท่าจอดช้างก็มีช้างมารอรับเยอะแยะเลย

ด้วยความสูงของช้างทำให้เราได้เห็นวิวนอกกำแพงที่สวยมากๆ มุมที่เห็นเป็นบริเวณส่วนหย่อมของป้อมปราการนั่นเอง

มองขนานไปทางสันกำแพงจะเป็นกำแพงด้านบนของป้อมปราการชัดเจน

แหม่... คนขับซิ่งซะด้วย นึกว่าขับรถแข่ง มือไม้นี่สั่นไปหมด #กลัวตกนิงาย

สักพักช้างเชือกที่โดยสารมาวิ่งจ้า วางกล้องมันซะเลย ไม่ต้องถ่ายมันละ (โยกเยกไม่หยุด) แซงทุกเชือกที่อยู่ในสนามแข่งเดียวกัน เลยทำให้ถึงเส้นชัยเป็นคนแรกและมีโอกาสได้วิ่งกลับมาถ่ายคณะที่กำลังควบช้างมายังเส้นชัย

ถึงข้างบนแล้ว กว้างขวางมั้ย วิวข้างล่างก็สวยมากนะ

เดินไปทางไหนในป้อมนี้ก็มีกำแพงที่ทำจากทรายแดงแบบนี้ ถ่ายรูปออกมาก็จะได้อารมณ์แบบนี้ ฮิปปี้มากๆ

เดินชมตัวป้อมไปเรื่อยๆ เรื่องราวความเป็นมาเขาน่าสนใจมากนะ แต่จะยาวเกิน ยังไม่เล่าดีกว่า จนกระทั่งถึงเวลากลับลงข้างล่าง

ณ พื้นที่เชิงเขานับหลายร้อยไล่ โอ้ว... บนขอบกำแพงนั่น... นั่นไง! แพะแพคคู่ ดูพวกเขาเหล่านั้นสิครับ คงคิดว่าเป็นหน้าผาสูงชันที่มีลมพัดอ่อนๆ ประเทศนี้นี่มันมีสัตว์กี่อย่างเนี่ย สงสัยแบกิวต้องกลับมาอีกรอบซะแล้ว

และแล้วก็เดินถึงจุดจอดรถจี๊ปซึ่งจะเป็นพาหนะพาเราลงไปสู่เบื้องล่าง

ทางลงก็ประมาณนี้ วนๆไป

พอลงมาก็จะผ่านด้านหน้าตัวป้อมที่เราเดินทางผ่านมาตอนแรก

นกแพคคู่! โอ้วว... ณ ทะเลซาบสีเขียวแห่ง..... พอ!

จากนั้นรถจี๊ปก็มาส่งเราที่ท่ารถตู้ จากรถตู้กลับไปพักผ่อนตามอัธยาศัย ทางกลับผ่านสิ่งนี้เลย... พระราชวังจัลมาฮาล (Jal Mahal) เป็นพระราชวังอยู่กลางน้ำ เหมือนอยู่สวิสไหม ถ้าไม่พูดถึงเรื่องอากาศ กลิ่น ขยะ ผู้คน นี่ใช่เลยล่ะ

เห็นจุดกลมๆขาวน้ำตาลมุมล่างขวาของรูปไหม ใช่แล้ว... หมูป่า! อะไรคือความเข้ากันของแหล่งท่องเที่ยวที่มีปลานิล นกกระยาง เหยี่ยว วัว อูฐ และหมูป่า!!

ทำให้ภาพถ่ายดูโปรขึ้นอีกนิดนึง เดี๋ยวจะหาว่าไม่มีรูปสวยๆ เมื่อถ่ายช็อตนี้เสร็จก็เป็นอันเสร็จสิ้นวันที่ 1 โดยสมบูรณ์

ติดตามชมเรื่องราวของวันที่สองต่อได้ที่นี่ เร็วๆนี้

DAY 2

หมีได้พาเพื่อนๆเที่ยวเมืองชัยปุระในวันแรกไปแล้ว คงจะเห็นได้ว่าเมืองนี้นั้นมีความ Exotic สูงมาก วันนี้จะมาเล่าในวันที่ 2 ให้เพื่อนๆได้ฟัง หมีไปเจออะไรมาบ้าง ไปเล้ยค่ะ...!

แน่นอนว่า หลายๆคนบอกว่าหากไปเที่ยวควรตื่นแต่เช้าเพราะเราจะได้เห็นอะไรมากขึ้น

มาเลยตี 4!... ตื่นมาทำอะไรตอนนี้... หลับต่อ ล่ะ คร่อกกก

หลังจากที่หลับต่อมาจนเต็มอิ่มแล้ว เราก็ออกจากโรงแรมกัน ออกมาแต่เช้าก็ดีนะ รถยังไม่เยอะมาก คนยัง slow life สลึมสลือ ลืมกดแตรกัน

ที่ๆแรกที่จะพาเพื่อนๆไปชมกันนั้นคือ City Palace แต่เนื่องจากเราออกมากันเช้า เขายังไม่เปิด เลยเปลี่ยนแผนนิดหน่อย ไปที่นี่ก่อนละกันเพราะอยู่ใกล้ๆกัน จันทรามันตรา

สถานที่นี้เป็นที่ศึกษาดาราศาสตร์ขององค์มหาราชา ซึ่งท่านเองเป็นผู้ที่หลงไหลในดาราศาสตร์มากๆ (ประมาณรัชกาลที่ 4 ของเรา) คำว่าจันทราในภาษาอินเดียนั้นหมายถึงดวงดาว และคำว่ามันตรานั้นหมายถึงระบบของดวงดาวอะไรนี่ล่ะ ที่มันเชื่อมโยงกันยั่วเยี้ย มีภาษาอารบิก อารมณ์ประมาณในภาพนี้ ลองดูมุมบนซ้ายของภาพนะ จะมีดิสลอยอยู่ ซึ่งเมื่อแสงอาทิตยสาดลงมาโดนเจ้าสิ่งนี้แล้วจะเกิดเงาตกกระทบที่ด้านล่าง ตามเส้นทางของดวงดาว มันละเอียดมากจริงๆ

นาฬิกาแดดของเมืองนี้นั้น มีความเที่ยงตรงสูงมาก หน้าตาจะไม่ค่อยเหมือนที่เราเคยๆเห็นกันสักเท่าไรนะ พูดตรงๆว่าหมีเห็นทีแรกยังไม่รู้เลยว่าคืออะไร รูปร่างหน้าตาหยั่งเงี้ย...

จำหน้าตาของบันไดนี้ไว้นะ เส้นสีขาวจริงๆแล้วไม่ใช้เส้นที่ตั้งฉากกับขอบฟ้า แต่จะเอียงซ้ายเบาๆ

ส่วนการทำงานของมัน แสงจะตกกระทบกับขอบของบันได และเกิดขอบเงาที่พื้นหินอ่อนทรงโค้งด้านล่าง ซึ่งเส้นของเงานี้จะเป็นตัวบอกเวลา Standard time ของที่นี่ ส่วน Local time ที่ชาวชัยปุระใช้ๆกันอยู่จะต้องบวกอีก 37 นาที ความเที่ยงตรงของนาฬิกานี้มีความคลาดเคลื่อนเพียงแค่ 20 วินาทีเท่านั้น อัจฉริยะจริงๆ

หลังจากได้ชมนาฬิกาแดดกันไปแล้ว สิ่งที่ Exotic ที่สุดหรือเรียกว่าเป็น Highlight นั่นก็คือเจ้านี้เลย นาฬิกาแดดยักษ์ บิ๊กเบิ้ม ความสูงราวๆตึก 6-7 ชั้น ตั้งตระหง่านอยู่กลางจันทรามันตราเลย

เทียบขนาดนาฬิกาบิ๊กเบิ้มกับคนแล้วจะเห็นเลยว่าสูงไปอีก

นอกจากนั้นยังมีนาฬิกาสำหรับทุกๆ Zodiac ตามฉบับของยุโรปอีกด้วยนะ หน้าตาจะเหมือนกันกับอันที่บอกเวลา แต่นาฬิกาของทุกๆราศีจะถูกวางไว้คนละตำแหน่งและองศาของดวงอาทิตย์ ทำให้ดวงของแต่ละราศีจะไม่เหมือนกันในช่วงเวลานั้นๆ สุดยอดไปเลยไหม

นาฬิกาแดดรูปร่างแบบปกติยังพอมีให้เห็นอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ตรงกลางจะเป็นเข็ม ดูเงาตกกระทบเหมือนกัน

เอาล่ะ หลังจากที่ได้ชมจันทรามันตรากันไปแล้ว ตอนนี้ City Palace น่าจะเปิดแล้ว จะเป็นอย่างไรเราไปชมกันเลยดีกว่าเนอะ เดินไปถึงปุ๊บ ซื้อตั๋ว เข้าประตู สิ่งแรกที่เจอคือเรือนรับรองของแขกบ้านแขกเมือง ตั้งอยู่ที่ประตูทางเข้าเลย

เมื่อหันทางด้านขวาของเรือนรับรองก็จะเจอประตูขนาดใหญ่ สมัยก่อนกษัตริย์อินเดียมีการสัญจรด้วยช้างเหมือนบ้านเรา จึงต้องสร้างประตูให้มีเพดานที่สูง ส่วนละเบียงสองด้านนั้นมีไว้ให้สตรีมายืนเพื่อโปรยดอกไม้ เมื่อกษัตริย์นั้นเสด็จกลับสู่วังนั่นเอง

ถัดไปหน่อยจะเป็นห้องโถง อารมณ์ประมาณล็อบบี้ ถูกทาด้วยสีชมพูตามแบบฉบับของนครสีชมพู สังเกตุดีๆว่าหน้าโถงซ้ายขวาจะมีไหเงินยักษ์ตั้งอยู่เป็นคู่ ไหนี้เป็นไหเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก และได้ไปอยู่มนกินเนสบุ๊คซะด้วย

(มาดูประวัติและข้อมูลของไหที่พูดถึงกัน)

ถัดจากอาคารโถงนี้แล้ว จะเป็นห้องประชุมแขกบ้านแขกเมืองซึ่งไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป ภายในจะเป็นเก้าอี้ตั้งล้อมกันบนพรมผืนยักษ์ ต่อกันเพียงแค่ 2 ผืน ขนาดราวๆ 25 x 10 เมตร มีเชนเดอร์เลียใหญ่เป็นขนาดสองของเมืองนี้แขวนอยู่ และมีบันลังค์ของกษัตริย์ตั้งแยู่ในมุมนึงของวงล้อมเก้าอี้ รอบๆกำแพงเป็นรูปและประวัติของมหาราชาแต่ละองค์

หลังจากชมห้องประชุมเสร็จ จะมีทางเดินอ้อมกลับออกมาภายนอกจากด้านหลัง

ตรอกทางออกมีร้านค้าอยู่เป็นหย่อมๆ ราคาไม่แพง เสื้วตัวละ 100 รูปี หรือประมาณ 50 บาทเท่านั้น

เมื่อกลับออกมาแล้วก็จะออกมาเจอตัวอาคารโถงที่เดิม

ทุ่มๆๆ ฮาเล โฮ๊ะๆ อี๋แอ่ๆ เสียงอะไรมาจากในนั้นน่ะ!!

อ่อว... มีการแสดงนี่เอง เสี่ยงทุ่มๆนั้นมาจากกลองแบบๆที่นักแสดงถืออยู่ และขับร้องเพลงกันแบบ Acapella ฟังไม่เป็นคำ แต่ดูแล้วเพลินดีนะ ฮาเล โฮ๊ะๆ อี๋แอ่ๆ

หลังจากเยี่ยมชม City Palace กันเสร็จแล้วพวกเราก็เดินกลับออกมา รูที่เห็นนี้เป็นรูรถสวนนะ ขอบอกว่าวุ่นวายมาก คนก็เดิน รถก็วิ่ง มอไซก็มา สามล้อ จักรยานก็มี ทั้งหมดนี้ต้องสวนกันในรูนี้ กว่าจะหาจังหวะออกมาได้

เหลือบไปเห็นอะไรเนียนๆ โอ้ว... ควายพลางตัวอยู่ในลานจอดมอไซ Exotic hereๆ

เดินมาได้อีกสัก 100 เมตร จะมีบริการจักรยาน 3 ล้อชมเมือง ราคาตกอยู่ที่หัวละ 100 รูปี (50 บาท) ใช้เวลาประมาณ 45 นาที คุ้มมากๆ

เดินมาเหนื่อยๆ เหมือนได้พัก นั่งตากลมชมเมือง อะไรจะชิวไปกว่านี้

แต่เดี๋ยวก่อน!!! หากคุณได้มองภาพเมื่อสัก 10 นาทีก่อนหน้านี้ ขอให้ลบภาพนั้นออกไปจากหัวได้เลย เพราะจักรยานพาวิ่งผ่านตัวเมืองที่พลุกพล่านมากๆ เสียงแตรบรรเลงรอบทิศทาง ในรูปนี้อารมณ์ประมาณอนุสาวรีย์ย่อส่วน มีก่อสร้าง มีวัว ควายมาร่วมใช้ถนน นึกว่าจะไม่รอดกลับมารีวิวซะแล้ว เบียดกันสุดริด

ใกล้ขนาดไหนอ่ะหรอ ถูหวยกับรถบัสคันข้างๆได้แบบไม่ต้องชะโงกยื่นแขนเลย 555

ถือว่าตัดสินใจไม่ผิดที่นั่งสามล้อถีบครับ เพราะได้เห็นอะไรของเมืองนี้แบบใกล้ชิดมากขึ้นเยอะเลย ในรูปนี้เป็นเด็กนักเรียนที่เกาะกลุ่มกันเดินอยู่กลางถนน

เด็กวัยรุ่นที่เกาะกลุ่มกันเดินกลางถนน ใช่แล้วครับ... กลางถนนที่รถวิ่งไปวิ่งมาจริงๆ

นั่งผ่านตลาดดอกไม้ ดอกกุหลาบที่นี่หอมมาก ไม่ต้องหยิบมาดมก็ได้กลิ่น ไม่เหมือนของบ้านเรา

เห็นวิถีชีวิตของผู้คนหลายๆมุม

ขากลับนั้น รถถีบก็ผ่านพระราชวังสายลมที่เราได้ผ่านมาเมื่อวานอีกรอบนึง

และแล้วก็กลับมายังท่ารถ ที่ต้องผ่านประตูเล็กๆรถสวนอีกครั้ง เมื่อต้องผ่านที่แคบๆ นักปั่นของเราก็จะลงมาเข็นแทนแบบนี้ เป็นอันจบภารกิจสำหรับวันนี้

DAY 3

วันที่สามนี้ หมีมีความตั้งใจจะไปถ่ายภาพพระอาทิตย์ของตัวเมืองชัยปุระมาให้เพื่อนๆได้ชม มาดูกันว่าสุดท้ายจะได้ภาพมาหรือไม่ เกิดอะไรขึ้นบ้าง มาดูกันเลย

เริ่มจากตอนเช้า หมีและคณะตกลงเข้าไปในตัวเมืองเก่าอีกรอบเพื่อถ่ายภาพชีวิตของคนในพื้นที่ ระหว่างเดินทางนั้นเด็กคนนี้ก็ซิ่งมา และวนไปวนมาอยู่หน้ากล้องหลายรอบ #คิดไปเองว่าอยากให้ถ่ายรูป ได้เลย แช๊ะ

ถึงแล้วเมืองเก่า หน้าตาตัวเมืองจะเป็นประมาณนี้สองข้างทาง มีความยาวประมาณ 2 กิโลได้ ทุกคนทำอาชีพของตัวเอง มีขอทานมากมาย (moneyๆๆ พร้อมกับบขยี้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้)

ส่วนใหญ่ขอทานที่นี่จะเป็นผู้หญิงกับเด็กนุ่งห่มผ้าแบบพื้นเมือง เพราะฉะนั้นคนในรูปนี้คือใครก็ไม่รู้ ทำอาชีพอะไรก็ไม่รู้ แต่เดินผ่านกล้องพอดี

เดินไปเรื่อยๆบนเส้นเมืองเก่าก็จะผ่านพระราชวังแห่งสายลมอีกรอบ เอ้า! ถ่ายรูปปปปป

ดูดี มีตำรวจคุ้มครอง ต้องบอกเลยว่าเมืองนี้นาาาาาาานๆทีถึงจะเจอตำรวจนะ ไม่เหมือนบ้านเรา ดักมอไซ ดักรถ จับนู่น จับนี่ เจอตัวตลอด

มาแวะซื้อของฝากเป็นแม่เหล็กติดตู้เย็นที่ร้านคุณลุงคนนี้ อัธยาศัยดีมากๆ แถมบอกว่าให้ถ่ายรูปแกสิ ถ่ายไปรูปนึง ลุงบอกว่า ช้าก่อน! พร้อมกับจัดหนวดแบบละเมียดๆและค่อยให้ถ่ายรูปนี้อีกครั้ง

โอ้วนั่น! ลิง... เมืองนี้นี่มันมีสัตว์กี่อย่างนะ ไม่สิ... เมืองนี้นี่มันมีสัตว์ข้างถนนกี่อย่างนะ บ้านเรามีแค่หมาข้างถนนนี่เบๆไปเลย

ยังอยู่ที่ย่านเมืองเก่า เดินต่ออีกหน่อยก็เจอร้านของหนุ่มคนนี้ หลายๆคนคงพอได้ยินเทศกาลสาดสีของอินเดียที่คล้ายๆกับสงกรานต์บ้านเรามาบ้าง นี่แหละหน้าตาของสีที่ใช้ปาใส่กัน สีแจ๊ดดดดดดดด จริงๆ

เจอแล้วขอทาน! เป็นผู้หญิงอุ้มเด็กตามประโยคบอกเล่า ถ่ายรูปปุ๊บ moneyๆ ทันฟัน

เดินไปสักพัก เจออีกแล้ว! คอนเฟิร์มครับ ผู้หญิงอุ้มเด็กน้อย (ผู้-หญิง-อุ้ม-เด็ก-น้อย ) เผลอถ่ายไปอีกรูปนึงเลยโดนค่าเสียหายไป 50 รูปี (25 บาท) 555+

ก่อนกลับจากเมืองเก่าเหลือบไปเห็นมะขามป้อมลูกใหญ่มหึมา เลยแวะซื้อกัน 10 รูปี (5 บาท) ได้ประมาณ 4 ลูก

เมื่อซื้อเสร็จพวกเราก็กลับมาพักผ่อน ทานอาหารกลางวันพร้อมที่จะลุยช่วงบ่ายต่อ

ฟิ้วววววว.... กลับไปพักผ่อน บ่ายค่อยลุยต่อ #รูปข้างล่างไม่เกี่ยวอะไรกับคำบรรยายนี้

ปรากฎว่าทันทีๆกลับมาถึงที่พัก ฝนเจ้าก็สาดลงมาต่อเนื่องจนถึงบ่ายสาม หมีและทีมจึงพร้อมออกเดินทางต่อเพื่อไปล่าแสงอาทิตย์ตกที่ Nahagarh Fort หรือ Tiger Fort พระราชวังที่ขึ้นชื่อ ตั้งอยู่บนเขาของเมืองชัยปุระนั่นเอง

โอ้ว! พระเจ้าจอช...มันทอดกล้วย ดูภาพข้างล่างนี่สิ เคยเห็นแต่ในทีวี เพิ่งเคยเห็นของจริงครั้งแรกเนี่ยแหละ หมีเลยถามท่านผู้นำว่าทำไมนั่งกันแบบนั้น ได้คำตอบกลับมาว่าช่วงนี้ใกล้เทศกาลสาดสี หรือโฮลี่เฟสติวัลแล้ว ผู้คนจะเริ่มทะยอยกันกลับบ้านทำให้ขนส่งแน่นกว่าปกติ ถึงบางอ้อเลย

ระหว่างทางไป Tiger Fort นั้น เราวิ่งมาทางเดียวกับ Amber Fort ซึ่งก็ผ่าน Water Palace อีกรอบ แต่เมื่อขึ้นเขาไปแล้วจะมีแยกให้เลี้ยวซ้าย

วิวระหว่างทางขึ้นเป็นยังไงล่ะ สวยยยยย ยังกะสวิสเซอร์แลนด์ เส้นทางนั้นประมาณทางเลาะเขาที่เชียงราย แต่แคบกว่ามาก ปูยางมะตอยอย่างดี สังเกตุได้จากรูปตุ๊กๆก่อนหน้านี้

ฟ้าหลังฝนเปิดโล่งสุดๆ สงสัยจะได้ภาพอาทิตย์ตกสวยๆแน่ๆเล้ยยยยย ย๊าฮู้วววว ส่วนไกลๆกลางน้ำนั่นก็คือ Water Palace ที่เราผ่านมานั่นเอง

ถึงข้างบนแล้ว เนื่องจากรถที่นั่งมาค่อนข้างใหญ่ ทำให้ต้องเดินเท้าต่อประมาณ 300 เมตรเพื่อไปยังทางเข้าของพระราชวัง

ถึงแล้วจุดจำหน่ายตั๋วของ Tiger Fort ชาวต่างชาติเสียค่าเข้า 200 รูปี (100 บาท) ต่อหัว ว่าแล้วก็ไม่รอช้าควักเงิน จ่ายตังแล้วเข้าไปกันเลย

มีป้ายมาต้อนรับยาม... เอ้ย! ต้อนรับพวกเราพร้อมบอกประมาณว่า พวกเอ็งได้มาถึง Tiger Fort แล้วนะ มาถึงแล้วพวกเอ็งก็อย่าลืมแวะทานร้านอาหารของข้านะ

ไม่ไหวแล้ว ปวดฉี่! กว่าจะเดินทางมาถึงที่นี่อั้นตั้งนาน พอหมีเดินมาเพื่อเข้าห้องน้ำที่บริเวณด้านขวาของตัวอาคาร ทันได้นั้น โอโหว นี่หรือวิว แบบนี้ก็ได้หรอ ลืมห้องน้ำไปเลย ถ่ายมุมนี้อยู่พักใหญ่ๆเลยทีเดียว

ตัวอาคาร Tiger Fort จะสร้างจากทรายแดงเหมือน Amber Fort มีลายละเอียดของตัวอาคาร ส่วนไฮไลท์ของที่นี่ที่หลายๆคนต้องไปถ่ายกันก็คือดาดฟ้าของอาคารนี้นั้นเอง จะเป็นอย่างไร เดินไปดูกัน

เดินเข้ามาในตัวอาคารจะมีห้องโถงใหญ่ นักท่องเที่ยวพอประมาณ มีห้องเล็กห้องน้อย หน้าต่างบานเล็กๆมากมาย มีช่องบันไดขึ้นชั้นต่อไปที่แคบมากๆ

รายละเอียดของตัวอาคารมีการพิมรอย มีการวาดด้วยสีและเคลือบมันคล้ายๆกัยสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆในเมืองนี้ สังเกตุได้ถึงความเก่าแก่

ขึ้นมาชมข้างบนกันเลยดีกว่า นี่แหละที่ใครต่อใครต้องมาถ่ายรูป ดาดฟ้าของ Tiger Fort! ดูๆไปก็ธรรมดานะ ตัวดาดฟ้าเองจะมีแยกหลายๆแยกเหมือนตัว T ที่หันเข้ามากลางอาคาร

นี่ไง แยกตัว T ที่บอก ถ้าไม่ถ่ายภาพเดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง แช๊ะ

เสร็จแล้วก็ถึงเวลามาลุ้นพระอาทิตย์ตกกัน

ตึ๊ง! เหมือนท้องฟ้าวิปริตแปรปรวนทันใด.... ทันใดนั้นเมฆจำนวนมากก็แห่มาจากไหนกันเยอะแยะไม่รู้ แสงอาทิตย์รอบหรี่มากเกิดเป็น Ray light แบบในภาพด้านล่างนี้

ยังไงอยู่ไปก็คงจะไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์แล้วแหละ ขอบฟ้าเต็มไปด้วยเมฆ พวกเราจึงตัดสินใจลงมาจากดาดฟ้า เพื่อเดินทางกลับ

ถ่ายพื้นก็ได้ ชิ

ระหว่างเดินทางกลับมาที่รถก็ยังคงไม่เห็นดวงอาทิตย์ T-T ทันใดนั้นพวกเราก็ตัดสินใจขึ้นรถกลับที่พัก

ระหว่างทางลงมาจากเขานั้น...... #อ่าวเห้ยไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หน่า อยู่ดีๆพระอาทิตย์ก็ปรากฏออกมากลางหลืบเมฆเป็นไข่แดงสวยงาม อดได้ภาพสวยๆกลับไปไปตามระเบียบ

จอ บอ

DAY 4

วันนี้ เรามีเวลากับเมืองนี้อีกเต็มๆวันเช่นเคย วันสุดท้ายแล้ว เราไปเจออะไรมาบ้าง มาดูกันครับ

หลังจากได้พักผ่อน ทานอาหารเช้ากันอย่างเต็มที่ และแล้วเราก็ออกเดินทางจากโรงแรมตั้งแต่เช้า

(คนขับคันหมีกลิ่นเหมือนของเปรี้ยวที่มีรสขม)

ระหว่างทาง ตามแยกที่รถติดจะมีน้องๆมาขอค่าอาหารกัน (ถ้าเป็นบ้านเราน่าจะประมาณ เพ่ๆ เช็ดกระจก และก็ปั๊บไม้เช็ดกระจกลงมาโดยที่ไม่ต้องรอคำตอบจากเรา)

ถึงแล้ว Birla Mandir หรือวัด(เทวสถาน)ของชาวฮินดู ตัววัดทำจากหินอ่อนขัดละบางจุดจะตกแต่งด้วยทรายแดงสวยและหินอ่อนทำให้ภายในมีอากาศที่เย็นมากๆ

เดินเข้าไปชมใกล้ๆกันหน่อยดีกว่า ผู้คนท้องถิ่นมากมายทะยอยมากราบสักการะกันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เช้าเลย ทุกคนเดินชิวๆกันเหมือนอยู่ในสวนสาธารณะ

น่าเสียดายที่ไม่สามารถถ่ายภาพภายในตัวอาคารมาให้ชมได้ จากการที่ได้ถามท่านผู้นำทริปแล้ว เหตุผลที่ห้ามถ่ายเพราะว่านักท่องเที่ยวจะไปโพสท่ากัน รบกวนสมาธิของผู้คนที่กำลังกราบไว้สักการะอยู่ในตัวเทวสถานนั่นเอง และอีกเหตุผลนึงก็คือ เคยมีชาวต่างชาติถ่ายภาพผู้ศรัทราที่กำลังกราบไหว้สักการะ แล้วเอาไปเขียนบทความที่ไม่เหมาะสมเกี่ยวกับศาสนาของเขานั่นเอง

และแน่นอนว่าผู้เข้าชมทุกท่านไม่อนุญาตให้ใส่รองเท้าหรือนำสัมภาระเข้าไปข้างในได้ ด้านหน้าของตัววัดจะมีจุดรับฝากสัมภาระอยู่ หรือเราจะผลัดกันเฝ้าผลัดกันเข้าชมก็ได้นะ

หลังจากเยี่ยมชมภายในเสร็จแล้วขาเดินออกมาเราก็แวะถ่ายรูปกันสักหน่อย

เดินออกมาทางหน้าตัววัดฝั่งลานจอดรถ เอ๊ะ! เสียงกระดิ่งมาจากไหน เดินตามไปดูหน่อยดีกว่า

เจอแล้ว! ต้นตอของเสียง สถานที่นี่ชื่อว่า Ganesh Temple หรือว่าวัดพระพระพิฆเนศที่โด่งดังเป็นอันดับ 1 ของเมืองนี้นั่นเอง ซึ่งเมื่อขึ้นบันไดมาถึงประตูแล้ว ผู้ศรัทราจะทำการสั่นกระดิ่งเพื่อให้องเทพรับทราบการมาถึงของเขานั่นเอง

ตามราวและเสาจะมีการคล้องเครื่องรางเป็นเชือกสีแดงผูกหอยเบี้ย ผูกไว้เยอะมากๆราวกับการคล้องกุญแจของชาวเกาหลีเลย

นี่ไง องค์พระพิฆเนศที่พูดถึง มีคนท้องถิ่นเข้ามากราบไว้กันมากมาย เรียกว่ากระดิ่งไม่หยุดสั่นเลยทีเดียว

องค์ท่านทีเสียงส้มแดง สีส้มนี้จะคล้ายๆกับ Wax เป็นของเหลวมันๆคล้ายๆเนื้อครีมเหนียว

เมื่อเดินออกมาทางเดิมกับที่เข้ามา ก็เจอกับชายคนนี้ที่เพิ่งกราบไหว้เสร็จ ด้านหน้าจะมีรูปปั้นอยู่(ดูไม่ออกว่ารูปปั้นอะไร) โดยที่รูปปั้นนี้ก็ถูกทาด้วยของเหลวคล้าย Wax เช่นเดียวกับองค์พระพิฆเนศ และชายคนนี้ก็เอานิ้วลูบ และจากกันก็จุดไว้ที่หน้าผากของตัวเอง (นึกภาพจุดระหว่างคิ้วของชาวอินเดีย หรือเป็นตาที่สามของชาวฮินดูนั่นเอง)

ลักษณะเมื่อจุดของเหลวสีส้มลงไปแล้วจะประมาณสามเจ้าท่านนี้นั่นเอง

สาวเจ้าท่านนี้คือคนรับฝากรองเท้าของผู้ศรัทธานั้นเอง

หลังจากเยี่ยมชม Birla Mandir ไปแล้วเราก็ตั้งใจว่าจะไปซื้อทับทิมอินเดียเพื่อนำกลับมาเมืองไทยซะหน่อย

จอดรถเตรียมลงไปซื้อผลไม้กัน โอ้ว! นั้นเจ้าแพะกำลังคุ้ยขยะกินอย่างเอร็ดอร่อย พร้อมกับหันมายิ้มให้

ผมเลือกที่จะรออยู่ด้านหน้า เนื่องจากหากคนต่างชาติเข้าไปติดต่อราคาจะสูงกว่าคนท้องถิ่นพอสมควร เลยให้ท่านผู้นำของเราเป็นผู้เข้าไปเจรจาแทน

และที่ต่อไปที่เราจะไปเยี่ยมชมกันก็คือสุสานขององค์มหาราชา ระหว่างทางผ่านคุณลุงขายเครื่องดื่มคนนี้

ถึงแล้ว! สุสานขององค์มหาราชา หรือ Gaitor เป็นสถานที่ๆใช้เก็บอัฐิของมหาราชาและครอบครัวของท่าน เมื่อเข้าไปถึงจะเจอเทวสถานตึกนี้ตั้งอย่างสง่าเดี่ยวๆเลย

เช่นเคย ตัวอาคารถูกสร้างด้วยหินอ่อนและทรายแดง มีการเล่นลวดลายที่สวยงาม สถานที่นี้ไม่มีอะไรมากและมีพื้นที่ค่อนข้างน้อย เมื่อเยี่ยมชมเสร็จเราก็กลับเข้ามาที่ Water Palace เพื่อที่จะถ่ายรูปแต่งตัวเป็นชาวพื้นเมืองกันสักภาพ

ระหว่างทางเราก็ผ่าน Albert Hall กันอีกรอบ ซึ่งเป็นวงเวียนที่นิยมถ่ายภาพมากๆ เนื่องจากด้านหน้ามีนกพิราบจำนวนมากนั้นเอง

บริเวณ Water Palace นั้นมีร้านรับถ่ายรูปจำนวนมาก ทุกคนจะมาต้อนรับทันทีที่รถของคุณจอด โดยปกติแล้วจะมีราคาตั้งอยู่ที่ 200 รูปี (100 บาท) รวมชุด รูป 1 ใบ/ท่าน และไม่อนุญาตให้เราใช้กล้องของตัวเองถ่าย

หลังจากต่อรองแล้วก็มาจบที่ร้านๆนี้คือ 100 รูปี (50 บาท) รวมชุด รูปถ่าย และสามารถถ่ายด้วยกล้องของเราเองได้ด้วย

มาดูผลลัพธ์กันเลย เป็นสถานที่ๆมีวิวสวยงามมากๆ ก่อนหน้านี้ที่ Birla Mandir ก็มีรับถ่ายรูปแนวนี้นะ แต่ความเห็นส่วนตัว หมีว่าที่นี่วิวสวยสุดเหมาะสำหรับการถ่ายแบบนี้แล้วแหละ

ในทะเลสาบเดียวกัน บริเวณหัวถนนของที่ท่องเที่ยวแห่งนี้จะมีนกน้ำอยู่กันมากมาย ใครมีเลนส์ช่วงยาวๆสามารถไปจอดถ่ายภาพกันได้เลย

และแล้วเขาก็กลับเข้ามาแวะซื้อของฝากเล็กๆน้อยๆกันในเมือง ระหว่างเดินเล่นกันอยู่ในตัวเมืองนั้น อยู่ดีๆก็มีผู้คนวิ่งเข้ามาปะสี สืบแล้วรู้มาว่าเป็นการพรีของเทศกาลโฮลี่ของชาวอินเดียซึ่งจะมาถึงในอีก 2 วัน (ถ้าเทียบกับของเราจะเป็นประมาณสงกรานต์) บางคนจะเล่นแป้งกันแห้งๆแบบนี้ แต่สำหรับเด็กๆจะนำแป้งสีนี้ไปผสมน้ำและกรอกใส่ปืนฉีดน้ำยิงเล่นกันอย่างเมามัน

ตัวแป้งนั้นมีสีสดเหมือนปากกาไฮไลท์ มีความเบาบางละเอียดๆ และมีกลิ่นที่หอมเหมือนสมุนไพร ปัดออกง่าย แต่เช็ดออกยาก ต้องถูสบู่ ซึ่งคืนนี้เรามีขึ้นเครื่องและเช็คเอ้าท์โรงแรมแล้ว

แก้สถานการโดยการแวะร้านอาหารและทำการล้างหน้า เปลี่ยนชุม พร้อมที่จะเดินทางไปนั่งรอขึ้นเครื่องที่โรงแรม

มาถึงโรงแรม Rambarg Palace ประมาณ 3 ทุ่ม เป็นโรงแรมระดับเทพยดา เทพโคตรๆ เรียกว่าเดินอยู่ในตัวโรงแรมแทบจะไม่กล้าควักกล้องออกมาถ่าย มีพนักงานเดินมาคอยให้บริการตลอด มีวงดนตรีเล่นเพลงคลอเคลียเป็นเสียงรอยมาในอากาศ

ที่ดูหรูขนาดนี้ เนื่องจากโรงแรมแห่งนี้เคยเป็นวังของมหาราชามาก่อน และถูกแปลงเป็นโรงแรม วัสดุทุกอย่างที่ใช้ประดับคือระดับในวังเลยนะ!

ดูห้องอาหารของโรมแรมนี้สิ ทุกคนใส่สูทกันอย่างดี ปูพรมผืนใหญ่ มีเสียงคลอเคลียของเพลงแนวบรรเลง Audiophile (แล้วนึกสภาพของหมีที่เพิ่งโดนปะสีมาสิ แทบอยากจะวิ่งออกมา 555+)

ห้องอาหารหรูเกินไป หมีเลยตัดสินใจมานั่งชิวๆดื่มน้ำที่บาร์โรงแรม (แก้วละประมาณ 300 บาท) ถึงเวลา 5 ทุ่ม เราก็พร้อมเดินทางไปสนามบินชัยปุระ

ถึงสนามบินแล้ว สนามบินที่นี่สามารถเข้าได้เฉพาะผู้โดยสารนะ แนะนำทุกท่านว่าให้ทำการพิมพ์ตั๋วออกมาไว้ด้วย เพราะหน้าบริเวณทางเข้าตัวอาคารจะมีพนักงานตรวจตั๋วและพาสปอต

เมื่อเข้ามาในตัวอาคารแล้วจะเจอเคาน์เตอร์เช็คอินของไทยสมายล์เองอยู่ทางขวามือเลย เห็นชัดเด่นเป็นสง่ามาก

เช็คอินเรียบร้อยแล้ว พร้อมเดินทางกลับบางกอกด้วย WE338 เครื่องออกเวลาตี 2 นอนยาวๆบนเครื่อง มีอาหารเสริฟ ผ้าห่ม น้ำหนักกระเป๋า 40 โล ทับทิมโหลดได้ไม่มีปัญหาใดๆ

บนเครื่องน้องแอร์บริการประทับใจเช่นเคย

อาหารบนเครื่องขากลับนั้นเป็นพะแพนงไก่รสชาติเยี่ยม

ถึงเมืองไทยประมาณ 8 โมง หรือบินประมาณเกือบๆ 4 ชม. เป็นอันสิ้นสุดทริปชัยปุระ

ขอขอบคุณสายการบินไทยสมายล์ #thaismile ที่ให้บริการอย่างดีเยี่ยมทั้งขาไปและขากลับ

ขอขอบคุณ Pocket Wifi จาก globalhotspot ที่ทำให้การติดต่อกับพ่อแม่พี่น้องที่ไทยของผมไม่สะดุดเลย (เร็วกว่าไวไฟของโรงแรมอีก อันนี้พูดเลย) #globalhotspot

และสุดท้ายขอขอบคุณเพื่อนๆที่ติดตามหมีคิดดังครับ #หมีคิดดัง

-----------

หากเพื่อนๆถูกใจบทความนี้ สามารถติดตามหมีคิดดังได้ที่เพจ www.fb.com/mheekiddung นะครับ ^^

 FOLLOW MHEE on fb: 
  • Facebook Social Icon
 RECENT POSTS: 
bottom of page